หากเปรียบธุรกิจเป็นเครื่องยนต์ การสร้างผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าหรือ Lead Generation ก็คงเป็นเหมือนเชื้อพลิง ซึ่งธุรกิจจะดำเนินไปได้ก็ต่อเมื่อสามารถรักษาปริมาณผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ แต่จะทำอย่างไรเมื่อเส้นทางการซื้อ (Purchase Journey) ของผู้คนนับวันก็ยิ่งจะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบันนี้ 93% ของเส้นทางผู้บริโภคแตกต่างกันออกไป1 โดยมีเส้นทางการซื้อนับล้านรูปแบบ ทำให้แบรนด์ต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าในช่องทางต่างๆ และค้นหาลูกค้าคนสำคัญเพื่อสร้างสัมพันธ์ที่มีความหมาย
หากแบรนด์ไม่สามารถติดตามผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าทางออนไลน์ที่เส้นทางไปจบทางช่องทางออฟไลน์ เช่น เมื่อนักช็อปซื้อสินค้าในร้านค้าหลังจากที่ได้เห็นโฆษณาออนไลน์ แบรนด์นั้นก็จะไม่สามารถระบุแหล่งที่มาของการขายว่ามาจากช่องทางการตลาดใด และจะเสียโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพ Lead Generation ไปอย่างน่าเสียดาย
แบรนด์จะเสียโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพ Lead Generation เมื่อมองไม่เห็นว่าโอกาสเหล่านั้นมีที่มาจากช่องทางการตลาดใด
วิธีการสำคัญที่จะช่วยเอาชนะความท้าทายนี้ได้คือการเชื่อมโยงแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องของคุณ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าบริษัทที่เชื่อมโยงแหล่งข้อมูล First Party ของตนสามารถสร้างรายได้เพิ่มเติมมากขึ้นถึงเท่าตัวจากตำแหน่งโฆษณา (Ad Placement) การสื่อสาร หรือการติดต่อเพียงครั้งเดียว และยังพบว่าประสิทธิภาพของต้นทุน (Cost Efficiency) นั้นดีขึ้น 1.5 เท่า มากกว่าบริษัทที่ผสานรวมข้อมูลได้อย่างจำกัด
2 ขั้นตอนปลดล็อก Lead Generation ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ต่อไปนี้คือ 2 ขั้นตอนหลักที่แบรนด์ควรให้ความสำคัญเมื่อทำ Lead Generation ด้วย AI
1. ระบุ Conversion ที่มี ROI สูงสุดบนเส้นทางตั้งแต่เริ่มสร้างผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าไปจนถึงการขาย
Conversion Action บางประเภทเกิดขึ้นได้ตลอดเส้นทางการซื้อของลูกค้า (Customer Journey) เช่น การสอบถามข้อมูลทางโทรศัพท์และการสมัครรับจดหมายข่าวของแบรนด์ โดยการดำเนินการ (Action) บางอย่างของลูกค้าก็มีคุณค่าต่อธุรกิจมากกว่าการดำเนินการอื่นๆ เพราะช่วยให้ลูกค้าเข้าใกล้การซื้อมากขึ้น ซึ่งหากคุณรู้ว่า Conversion ใดมี ROI สูงสุด คุณก็จะกำหนดทิศทางให้โซลูชันที่ทำงานด้วย AI ได้ดีขึ้นเพื่อสร้างผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น
เครื่องคำนวณ Conversion Value ของเราจะช่วยให้คุณเห็นมูลค่าของแต่ละ Conversion Action ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และช่วยให้สามารถระบุกิจกรรมของลูกค้าที่มีมูลค่าสูงสุดที่คุณควรมุ่งเน้นในการเพิ่มประสิทธิภาพบนเส้นทางไปสู่การขายนี้
2. สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งด้วยข้อมูล First Party เพื่อขับเคลื่อนโซลูชันที่ทำงานด้วยระบบ AI
เพื่อให้เห็นภาพเส้นทางของลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบและกำหนดทิศทางของธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จ คุณควรเชื่อมโยงข้อมูลการดำเนินการ (Action) ทางออฟไลน์ของลูกค้ากับแคมเปญออนไลน์ โดยใช้ Enhanced Conversion สำหรับโอกาสในการขาย (Lead)
เครื่องมือที่มุ่งเน้นความเป็นส่วนตัวนี้จะช่วยนำเข้าข้อมูลจากฐานข้อมูลการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ของคุณอย่างง่ายดาย และจับคู่ธุรกรรมออฟไลน์กับแคมเปญ Google Ads โดยใช้ข้อมูล First Party ที่แฮชจาก Lead Form ในเว็บไซต์ของคุณ
เมื่อมีข้อมูล First Party เป็นฐานรากที่แข็งแรงแล้ว โซลูชันโฆษณาที่ทำงานด้วยระบบ AI ก็จะยิ่งมีความแม่นยำในการวิเคราะห์และการคาดการณ์มากขึ้น และคุณยังสามารถใช้กลยุทธ์โฆษณาอย่างการเสนอราคา Bidding ตามมูลค่าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อเข้าถึงลูกค้าคนสำคัญและสร้างผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าคุณภาพสูง
หลายแบรนด์ที่มองการณ์ไกลได้เลือกใช้ Enhanced Conversion สำหรับโอกาสในการขาย (Lead) เพื่อเข้าถึง Lead Generation ด้วยระบบ AI ซึ่งหนึ่งในนั้นคือแบรนด์ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างแสนสิริ
แสนสิริ: เพิ่มประสิทธิภาพ Lead Generation ด้วยการผสานรวมข้อมูล First Party อย่างง่ายดาย
เช่นเดียวกับหลายๆ ผู้ลงโฆษณา Lead Generation แสนสิริเองก็ต้องเฟ้นหาผู้ที่มีแนวโน้มจะซื้อบ้านหลังใหม่มากที่สุดจากผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าขั้นต้นจำนวนมาก แสนสิริจึงมุ่งเน้นการสร้างผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพ Search ซึ่งเป็นช่องทางการโฆษณาหลักของแบรนด์
ด้วยความที่การขายอสังหาริมทรัพย์มักเกี่ยวข้องกับ Touchpoint จำนวนมากทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ iProspect ซึ่งเป็นเอเจนซีสื่อของแสนสิริจึงแนะนำให้บริษัทกำหนด Enhanced Conversion สำหรับโอกาสในการขาย (Lead) ให้รวมข้อมูล First Party ที่บริษัทมีอยู่ด้วย
Artitaya Pansuwan ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนที่ iProspect กล่าวว่า “Enhanced Conversion สำหรับโอกาสในการขาย (Lead) ทำให้เราได้อินไซต์ดีๆ มากขึ้น เพื่อที่จะนำมาเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ Search ของแสนสิริให้ได้ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอและในวงกว้าง”
กระบวนการผสานรวมข้อมูลที่ว่านี้เป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อใช้ฟีเจอร์การนำเข้า Conversion ของ Google Ads สำหรับ Salesforce ซึ่งช่วยให้แสนสิรินำเข้า Conversion ออฟไลน์จาก Salesforce CRM มายัง Google Ads โดยอัตโนมัติ และใช้ Enhanced Conversion สำหรับโอกาสในการขาย (Lead) เพื่อจับคู่ Conversion ออฟไลน์กับโฆษณา Search ที่สร้างผู้มีโอกาสเป็นลูกค้านั้น
นั่นหมายความว่าแสนสิริสามารถวัดผลของแคมเปญโฆษณา Search ตลอดทั้ง Funnel การขายได้อย่างง่ายดาย รวมถึงประเมินผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าที่มีแนวโน้มจะสร้างยอดขายมากที่สุด และเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ Search ให้เสนอราคา Bidding เพื่อให้ได้ลูกค้ามูลค่าสูงเหล่านั้น
แสนสิริพบว่าจำนวนผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าที่เข้าเกณฑ์ของแบรนด์เพิ่มขึ้น 43% โดยที่ Cost Per Acquisition ลดลง 48% และตอนนี้ยังวางแผนที่จะขยายกลยุทธ์นี้ไปใช้กับแคมเปญอื่นๆ ของแบรนด์อีกด้วย
เส้นทางที่เริ่มตั้งแต่การสร้างผู้มีโอกาสเป็นลูกค้ามาจนถึงการขายอาจจะซับซ้อน แต่ Lead Generation ที่มีประสิทธิภาพไม่จำเป็นต้องซับซ้อนตาม คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อให้ได้ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าที่มีคุณภาพและสร้างการเติบโตในส่วนที่สำคัญได้อย่างง่ายดายโดยปูรากฐานของข้อมูล First Party ที่ผสานรวมได้อย่างราบรื่นด้วย Enhanced Conversion สำหรับโอกาสในการขาย (Lead) และใช้ข้อมูลเหล่านี้ผลักดันให้โซลูชันการตลาดที่ทำงานด้วย AI ทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพยิ่งขึ้น